วันเสาร์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2559

Goodbye senior GS Mathematics 58





.......ดีใจจังบายเนียร์ทั้งทีเป็นการรวมทุกคนเข้ามาอยู่ด้วยกัน ซึ่งมีอาจารย์ พี่ปี 5 ปี 4 ปี 3 ปี 2 และน้องปี 1 รู้สึกดีใจกับพี่ปี 5 ทุกๆคน โดยเฉพาะทวดเทคที่น่ารักและเคารพ ขอให้ทุกคนประสบความสำเร็จในชีวิตตลอดไปของการเป็นครูนะคะ เอาละเดี๋ยวมาดูภาพบรรยากาศของสายเทคของเรากันดีกว่า

                                                สายเทคแรก : น่ารักทุกคนเลย ^=^








มาดูกันที่อีกสาย น่ารักอีกแล้ว








สายนี้มาจากนราธิวาสตั้ง 4 คน แหน่ะ เขิน >///<
ปิดท้ายด้วยกับเธอคนนี้ : โดนแย่งกันในระหว่างสาย หุหุ


นิยายดี เรียกน้ำย่อย : ลับแล แกงคอย


อมตะ

นวนิยายรางวัลซีไรต์ประจำปี 2543





   เรื่องย่อ

           อมตะ เป็นนวนิยายเชิงจินตนาการถึงในอนาคต เกี่ยวกับการแสวงหาความเป็นอมตะของชีวิต โดยใช้รูปแบบวิวาทะระหว่างแนวคิดบริโภคนิยมกับแนวคิดทางศาสนาของโลกตะวันออก โครงเรื่องหลัก คือ การทำโคลนมนุษย์ในอนาคตและการเปลี่ยนแปลงถ่ายอวัยวะอันนำไปสู่ปัญหาด้านมนุษยธรรมจริยธรรม
.................................................................................................
     
  ตอนที่ 1  
     
           เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้น พรหมินทรฺ์ยังไม่อาจข่มตาหลับลงได้ เขาต้องการนอนหลับ แต่นิ่งต้องการหลับมากเท่าไหร่ ความคิดของเขาก็ยิ่งทำให้เขาตื่นมากขึ้นเท่านั้น เขาพลิกตัวไปมาสลับกันพร้อมถอนหายใจยาวๆ นับตั้งตั้งแต่ห้าทุ่ม เหงื่อชุ่มตัวหลายครั้งเขาบันดานโทสะแทบจะลุกออกออกมาพังผนังห้องให้สะใจการนอนไม่หลับของเขาเปรียบกับไฟที่เผาตัวของเขาเสียจริงๆ
          ภรรยาเขาพลิกตัวหันหลังให้ แต่นางโชคดีกว่าตรงที่ได้นอนหลับบ้าง แม้จะหลับไม่สนิทก็ยังได้พักผ่อนอยู่บ้างไม่ได้ทรมานเหมือนตน
          "มีเรื่องอะไรคาใจหรอ"!นางถาม
พรหมินทร์ก้าวลงจากเตียงไปนั่งเก้าอี้ตรงข้ามเตียงนอน พยายามตั้งสติด้วยการกายใจลึกๆ ภรรยาเขาลุกขึ้นบ้างเช่นกันจากนั้นก็เอื้อมมือไปเปิดโคมไฟ แล้วนั่งพิงพนักเตียง ซึ่งนางเป็นลูกครึ่งไทย-จีน แต่หน้าตาละม้ายคนไทยมากกว่า หยักศก และตัดสั้นระดับต้นคอ ผิวหนังปรากฏรอยยับย่นชัดเจน โดยเฉพาะที่หน้าผาก หางตาและคอ ซึ่งก็เป็นธรรมดาของคนวัย 50 จุดเด่นของนางก็คือแววตาที่ครุ่นคิดและหวั่นวิตกอยู่ตลอดเวลา เป็นแววตาของคนที่ไม่เคยมีความสงบใจ นางมองไปที่สามี ซึ่งเห็นมัวมนอยู่ในแสงไฟโคม นางคิดเอาว่าเขาต้องมีเรื่องสำคัญ ชนิดคอขาดบาดตายแน่ๆ เพราะเขาไม่เคยมีอาการอย่างนี้มาก่อน นับแต่แต่งงานอยู่กินด้วยกันมา
           "มีเรื่องอะไรอยากจะบอกฉันก็บอกมาเลย" นางเลิกผ้าห่มออกจากตัว ก้าวลงจากเตียงไปนั่งที่เก้าอี้นวมตัวตรงข้ามเขา รอฟังเขาพร้อมกับคาดเดาเรื่องที่เขาจะพูด ส่วนเขาก็คิดหาคำพูดเริ่มต้นเพื่อไม่ให้นางตื่นกลัวจนเกินไป
          "ผมคิดว่ามันคงถึงเวลาแล้ว " เขาวางศอกบนพนักเก้าอี้บีบขมับ และมองพื้นพรมเหมือนกำลังค้นหาถ้อยคำ "หลายวันมานี้ผมปวดข้อมาก โปรเฟสเซอร์ตรวจแล้ว บอกว่าผมกำลังจะเป็นโรคเก๊าต์"
นางมองหน้าเขาพร้อมกับกลั้นใจ ภาวนาอย่าให้สิ่งที่นางคิดเป็นความจริงเลย
         "ร่างกายมันเริ่มเสื่อมโทรมไปตามวัย ผมก็เลยคิดว่า ถึงเวลาแล้วที่จะปรับปรุงมันเสียที "
ภรรยาของเขาไม่ได้ยินประโยคหลังเพราะหูอื้อ ตัวชาไปก่อนแล้ว
เขาเข้าใจความรู้สึกขกล่าวอ้าง "ผมไม่ได้อยากจะทำหรอก แต่มันจำเป็น

ตอนที่ 2

           พรหมินทร์มีบริษัทเป็นพันแห่ง แต่ลูกชายไม่สามารถที่จะบริหารงานแทนได้เพราะยังมีประสบการณ์ที่ไม่เพียงพอ
ภรรยาของเขาได้บอกหลายครั้งว่าจะไม่ยอมให้เขารับสานต่อโครงการ "มนุษย์อมตะ"มาจากพ่อของเขา
           "ให้เวลาเขาอีกสักปีไม่ได้เหรอ"นางขอร้องทั้งที่ไม่มีความหวังเลยแม้แต่น้อย
           "ผมอายุห้าสิบแล้ว ถ้าขืนช้าไปจะยิ่งลำบาก ไม่ว่าจะช้าหรือเร็วก็ต้องทำอยู่ดี ถ้าทำเร็วมันก็ดีแก่ผม ส่วนเขาก็ได้ขงจบหน้าที่ของเขาไปเสียที ส่วนทุกคนจะได้หมดความทุกข์กันสักที ส่วนคุณก็จะหมดความทุกข์ด้วยเช่นกัน และเมื่อมีชีวิตอยู่อย่างมีความสุข ทุกคนอีกสามล้านกว่าก็มีความสุขไปด้วย" ซึ่งหมายถึงพนักงานบริษัทพันกว่าแห่ง ทั้งในและต่างประเทศ
          "เราเลี้ยงเขามาเหมือนลูก..." แล้วน้ำตานางก็ไหลออกมาและสิ้นหวังที่จะขอร้องต่อไป
           เขาปลอบนางว่า "ไม่ว่าเราจะเลี้ยงดูเขาอย่างไร เราก็ต้องยอมรับความจริง เขาไม่ใช่ลูกของเรา ไม่ใช่แม้กระทั่งคนอย่างเราๆ เขาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต และเขาถูกสร้างขึ้นมาด้วยจุดมุ่งหมายเพื่อตัวผม"
           ตอนเช้า เมื่อพรหมินทร์ลงมายังชั้นล่าง เพื่อรับประทานอาหารเช้าก่อนออกไปทำงาน ก็พบภรรยานั่งหน้าเครียด เขาทักมายภรรยาของเขาด้วยเสียงที่จะให้เป็นปกติ
           เขาบอกแม่บ้านที่เข้ามายืนรอคำสั่งอยู่แล้วว่า "ขอน้ำส้มคั้นกับกาแฟสักถ้วย" แล้วเขาก็นั่งลงบนเก้าอี้ตรงข้ามกับภรรยาของเขา
           นางเบือนหน้าหนีด้วยการมองไปยังสวนหย่อมหน้าคฤหาสน์ แววตาเหมือนกับวิญญาณที่ถูกแช่แข็งไปแล้ว
           พรหมินทร์ระบายลมหายใจ เขาไม่ได้ทุกข์เรื่อง "คนอื่น" แต่ทุกข์เพราะความห่วงใยความรู้สึกของภรรยา "ผมรู้ว่าคุณเสียใจและโกรธผม แต่ผมก็อยากจะขอให้คุณเข้าใจผมบ้าง หรือ ถ้าเป็นไปได้ ก็ขอให้เลิกนึกถึงมันไปเสีย ผมไม่อยากให้คุณเป็นแบบนี้ มันเสียกำลังใจ ผมอยากออกจกาบ้านไปด้วยจิตใจที่ปลอดโปร่ง ไม่ใช่หดหู่เศร้าหมอง เพราะห่วงความรู้สึกของคุณอยู่อย่างนี้ "

ตอนที่ 3

           "คุณอย่ามากังวลกับความรู้สึกของฉันเลย ถึงอย่างไร ฉันก็ทำใจไม่ได้ แม้ว่าอยากจะทำแค่ไหนก็ตาม คุณเองก็ไม่ได้ห่วงความรู้สึกของฉันสักเท่าไร" คุณห่วงความรู้สึกตัวเองมากกว่า คุณก็พูดชัดเจนแล้วว่า คุณอยากมีจิตใจที่ปลอดโปร่งแจ่มใส
            หน้าเขาตึงเมื่อถูกย้อน "เอาละ ผมยอมรับว่าผมเห็นแก่ตัว ใครๆ ในโลกนี้ต่างก็เห็นแก่ตัวกันทั้งนั้น แล้วผมผิดตรงไหน ถ้าผมผิด คนทั้งโลกก็ผิดเหมือนกัน แม้แต่คุณ ที่มานั่งทำหน้าโศกเศร้าอยู่ที่นี่ก็เพราะไม่ได้อย่างใจตัวเอง มันก็เหมือนกันนั่นแหละ มันอยู่ที่ใครจะมีเหตุผลมากกว่ากันเท่านั้น"
            นางส่ายหน้า บอกให้เขารู้ว่าไม่อยากจะโต้เถียงด้วย
            แม่บ้านยกถาดใส่น้ำส้มคั้นกับกาแฟร้อนเข้ามาเสิร์ฟ แต่พรหมินทร์กลับลุกขึ้น แล้วหยิบกระเป๋าเอกสารเดินออกไป และได้บอกกับนางว่าให้ตามเขาไปที่สำนักงานใหญ่เอง
            เมื่อพรหมินทร์ออกจากคฤหาสน์ไปไม่ถึง 5 นาที ชายหนุ่มในสูทสีน้ำตาลก็เดินลงมาจากชั้นบน เขาเป็นคนร่างสูงโปร่งผิวพรรณเหลืองนวลสะอาดสอ้าน

บล็อกนี้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นแหล่งความรู้ เป็นการเผยแพร่วัฒนธรรมทางภาษา/ความรู้การใช้งานโปรแกรม Infographic/นวนิยายเรื่องสั้น อีกทั้ง รวบรวมเรื่องราวกิจกรรมต่างๆในชีวิตประจำวัน ทำให้เกิดความสนใจใหม่ๆ เหมาะสำหรับทุกเพศทุกวัย